ฐานข้อมูลแบบไม่ต้องใช้เซิร์ฟเวอร์คืออะไร
ฐานข้อมูลแบบไม่ต้องใช้เซิร์ฟเวอร์คือเทคโนโลยีฐานข้อมูลที่ผู้ให้บริการคลาวด์ที่เป็นบุคคลภายนอกจะให้บริการจัดการเซิร์ฟเวอร์ฐานข้อมูลพื้นฐานและโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีอย่างเต็มรูปแบบเพื่อคุณ ตามปกติแล้ว องค์กรต่างๆ จะนำระบบฐานข้อมูลบนเซิร์ฟเวอร์ที่จัดการด้วยตนเองไปใช้จริง และต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าการกำหนดค่าเซิร์ฟเวอร์ได้รับการอัปเดตและบำรุงรักษาอย่างเหมาะสมเมื่อความต้องการเพิ่มขึ้น แต่ในทางตรงกันข้าม ฐานข้อมูลแบบไม่ต้องใช้เซิร์ฟเวอร์จะทำงานบนโครงสร้างพื้นฐานระบบคลาวด์ที่มีการจัดการอย่างเต็มรูปแบบและปรับขนาดได้อย่างยืดหยุ่นเมื่อเวิร์กโหลดเปลี่ยนไป ฐานข้อมูลแบบไม่ต้องใช้เซิร์ฟเวอร์ที่นิยมใช้กันอาจเป็นฐานข้อมูลแบบเชิงสัมพันธ์หรือฐานข้อมูล NoSQL ฐานข้อมูลเหล่านี้มีศักยภาพความพร้อมใช้งาน ความทนทานต่อความเสียหาย และความเสถียร คุณจะจ่ายเฉพาะสำหรับการใช้งานฐานข้อมูลตามจริงเท่านั้น ข้อตกลงระดับบริการ (SLA) จะควบคุมขีดความสามารถด้านประสิทธิภาพเพื่อให้คุณสามารถมุ่งเน้นไปที่การเก็บรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลได้อย่างมั่นใจ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องโครงสร้างพื้นฐานของฐานข้อมูล
ประโยชน์ของฐานข้อมูลแบบไม่ต้องใช้เซิร์ฟเวอร์มีอะไรบ้าง
ธุรกิจอาจได้รับประโยชน์มากมายจากการใช้ฐานข้อมูลแบบไม่ต้องใช้เซิร์ฟเวอร์
ความสามารถในการปรับขนาด
ฐานข้อมูลแบบไม่ต้องใช้เซิร์ฟเวอร์มีความสามารถในการปรับขนาดได้ทันทีเพื่อรองรับปริมาณของธุรกรรมจำนวนมาก ด้วยการปรับขนาดตามความต้องการ คุณจะมั่นใจได้ว่าฐานข้อมูลของคุณจะสามารถจัดการกับเวิร์กโหลดที่พุ่งสูงขึ้นได้โดยที่ประสิทธิภาพไม่ลดลง ฐานข้อมูลที่ปรับขนาดได้จะช่วยให้ธุรกิจมีประสิทธิภาพที่เสถียรไม่ว่าปริมาณการรับส่งข้อมูลจะมากหรือน้อย
ความเสถียร
ผู้ให้บริการที่เป็นบุคคลภายนอกที่ให้บริการฐานข้อมูลแบบไม่ต้องใช้เซิร์ฟเวอร์จะใช้ฟังก์ชันแบบไม่ต้องใช้เซิร์ฟเวอร์จำนานมาก เพื่อให้แน่ใจว่ามีความพร้อมใช้งานสูง โดยจะมีการรับประกันความคงทนด้วยการป้องกันข้อมูลสูญหายในรูปแบบต่างๆ ตัวอย่างเช่น ฐานข้อมูลแบบไม่ต้องใช้เซิร์ฟเวอร์จะมีแบบจำลองการอ่าน โซนความพร้อมใช้งาน (Availability Zone) และการโคลนเพื่อเพิ่มความเสถียร พร้อมกับมีกลยุทธ์การซ่อวมแซมตนเอง การทนทานต่อความผิดพลาด และข้อมูลแบบกระจายตัวมอบความคงทน
ความสะดวกในการจัดการ
ฐานข้อมูลแบบไม่ต้องใช้เซิร์ฟเวอร์นจะมีการจัดการฐานข้อมูลอัตโนมัติ ซึ่งทำให้ไม่ต้องคอยจัดการทรัพยากรเอง โดยคุณสามารถเปลี่ยนบทบาทการบำรุงรักษาฐานข้อมูลไปยังฟังก์ชันการพัฒนาธุรกิจได้ ผู้ให้บริการระบบคลาวด์จะจัดการฐานข้อมูลในระบบคลาวด์ให้คุณ
ธุรกิจต่างๆ สามารถปรับแต่งการใช้ฐานข้อมูลแบบไม่ต้องใช้เซิร์ฟเวอร์ได้อย่างละเอียดเมื่อเวลาผ่านไป เพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะจ่ายเงินแลกกับทรัพยากรฐานข้อมูลและความจุเท่าที่ใช้เท่านั้น ความสามารถในการปรับขนาดแบบละเอียดช่วยสร้างความสอดคล้องให้กับต้นทุนและการใช้งาน เพื่อหาจุดสมดุลที่มีประสิทธิภาพ
ค่าบริการตามการใช้งานจริง
ฐานข้อมูลแบบไม่ต้องใช้เซิร์ฟเวอร์ใช้รูปแบบค่าบริการตามการใช้งานจริง โดยเรียกเก็บเงินจากผู้ใช้ตามการใช้งาน แนวทางที่ยืดหยุ่นนี้เป็นการรองรับการใช้งานที่ผันแปรได้ตามสถานการณ์และให้ความคุ้มค่าที่สุดสำหรับธุรกิจ
กรณีการใช้งานของฐานข้อมูลแบบไม่ต้องใช้เซิร์ฟเวอร์มีอะไรบ้าง
กรณีการใช้งานบางส่วนสำหรับกลยุทธ์ฐานข้อมูลแบบไม่ต้องใช้เซิร์ฟเวอร์มีดังนี้
ปริมาณงานที่เปลี่ยนแปลงได้
ธุรกิจที่ใช้แอปพลิเคชันที่มีรูปแบบการใช้งานไม่สม่ำเสมออาจประสบปัญหาในการจัดเตรียมทรัพยากร กิจกรรมบางอย่างอาจทำให้เกิดการรับส่งข้อมูลพุ่งสูงขึ้น ตัวอย่างเช่น กิจกรรมสาธารณะอาจทำให้การเข้าชมโซเชียลมีเดียเพิ่มขึ้นเมื่อผู้คนเข้าสู่ระบบ ในกรณี้นี้ ฐานข้อมูลแบบไม่ต้องใช้เซิร์ฟเวอร์จะมอบความยืดหยุ่นในการจัดการการโต้ตอบและการประมวลผลข้อมูลที่เพิ่มขึ้นได้โดยไม่ทำให้การตอบสนองมีประสิทธิภาพลดลง ฐานข้อมูลแบบไม่ต้องใช้เซิร์ฟเวอร์สามารถปรับขนาดได้อย่างละเอียดเพื่อตอบสนองความต้องการใช้ทรัพยากรในช่วงเวลาเร่งด่วนโดยไม่ก่อให้เกิดค่าใช้จ่ายสำหรับทรัพยากรที่ไม่ได้ใช้งานในช่วงเวลาที่มีการใช้งานน้อย
การจัดการฟลีตฐานข้อมูลขององค์กร
องค์กรขนาดใหญ่อาจมีแอปพลิเคชันหลายร้อยหรือหลายพันแอปที่ทำงานพร้อมกัน แอปพลิเคชันเหล่านี้อาจแชร์ทรัพยากรกันหรือมีฐานข้อมูลแยกของตัวเอง การจัดการความผันผวนในความต้องการและการใช้ทรัพยากรด้วยตนเองสำหรับแอปพลิเคชันจำนวนมากเป็นเรื่องท้าทาย แทนที่จะทำเช่นนั้น บริษัทต่างๆ สามารถใช้ระบบฐานข้อมูลแบบไม่ต้องใช้เซิร์ฟเวอร์เพื่อปรับความพร้อมใช้งานและประสิทธิภาพได้โดยอัตโนมัติตามความต้องการของแอปพลิเคชันแต่ละรายการ วิธีการนี้ช่วยให้มั่นใจได้ว่าจะมีความพร้อมใช้งาน ประสิทธิภาพ และการกู้คืนสูงโดยไม่ต้องจัดการกับงานด้านการจัดการที่ซับซ้อน
แอปพลิเคชันการให้บริการซอฟต์แวร์
บางครั้ง ผู้ให้บริการ Software as a Service (SaaS) จะจัดการอินสแตนซ์ฐานข้อมูลแยกต่างหากสำหรับลูกค้าทุกคน แม้ว่าจะสามารถวางอินสแตนซ์ฐานข้อมูลเหล่านี้ในคลัสเตอร์เดียวได้ แต่ก็ยังจำเป็นต้องจัดการฐานข้อมูลแต่ละรายการแยกต่างหากอยู่ดี โซลูชันฐานข้อมูลแบบไม่ต้องใช้เซิร์ฟเวอร์ช่วยให้ผู้ให้บริการ SaaS จัดเตรียมคลัสเตอร์ฐานข้อมูลสำหรับลูกค้าแต่ละรายได้โดยไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม เมื่อไม่ได้ใช้งานฐานข้อมูล ระบบจะปิดลงเพื่อลดการใช้ทรัพยากร
ฐานข้อมูลที่ขยายตัว
คุณสามารถแบ่งฐานข้อมูลเป็นหลายอินสแตนซ์เพื่อปรับปรุงอัตราการโอนถ่ายข้อมูลเมื่อต้องรับมือกับความต้องการในการอ่านหรือเขียนที่สูงได้ เมื่อแยกฐานข้อมูลด้วยฐานข้อมูลแบบไม่ต้องใช้เซิร์ฟเวอร์แล้ว คุณสามารถปรับความจุให้ตรงกับความต้องการได้โดยอัตโนมัติ แนวทางการใช้ฐานข้อมูลแบบไม่ต้องใช้เซิร์ฟเวอร์นี้ช่วยลดเวลาหยุดทำงานและมอบความจุในจำนวนที่แอปพลิเคชันต้องการได้อย่างพอดี
แอปพลิเคชันที่ใช้ไม่บ่อย
แอปพลิเคชันบางตัวที่ใช้ฐานข้อมูลแบบเดิมจะใช้ทรัพยากรไม่บ่อยนัก ตัวอย่างเช่น ทีมพัฒนาซอฟต์แวร์และการประกันคุณภาพไม่จำเป็นต้องเข้าถึงฐานข้อมูลการพัฒนาในช่วงกลางคืนหรือวันหยุดสุดสัปดาห์ หากแอปพลิเคชันหรือเว็บไซต์ต้องรองรับกิจกรรมเพียงไม่กี่นาทีต่อวัน การชำระเงินเพื่อรับสิทธิ์ใช้งานตลอดเวลาถือเป็นค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น บริษัทที่ใช้ฐานข้อมูลแบบไม่ต้องใช้เซิร์ฟเวอร์จำเป็นต้องชำระเงินสำหรับทรัพยากรตามที่ใช้เท่านั้น ซึ่งเป็นวิธีแก้ปัญหาที่มีประสิทธิภาพสำหรับปัญหานี้ ฐานข้อมูลแบบไม่ต้องใช้เซิร์ฟเวอร์จะปิดโดยอัตโนมัติเมื่อไม่ได้ใช้งาน
ฐานข้อมูลแบบไม่ต้องใช้เซิร์ฟเวอร์ทำงานอย่างไร
ฐานข้อมูลแบบไม่ต้องใช้เซิร์ฟเวอร์แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญในการจัดการและใช้งานฐานข้อมูล งานการจัดการทั้งหมด เช่น การสำรองข้อมูล การบำรุงรักษา และการอัปเดต จะได้รับการจัดการอย่างเต็มรูปแบบโดยผู้ให้บริการระบบคลาวด์ ฐานข้อมูลแบบไม่ต้องใช้เซิร์ฟเวอร์ยังรองรับฟังก์ชันฐานข้อมูลที่สำคัญอื่นๆ ด้วย เช่น มอบการควบคุมการเข้าถึงการรักษาความปลอดภัย การซิงโครไนซ์กับการเข้าถึงข้อมูลออฟไลน์ และการรองรับไลบรารีการพัฒนา โดยจะมีการใช้การเข้ารหัส สิทธิ์ระดับทรัพยากร การแยกเครือข่าย และการตรวจสอบขั้นสูงเพื่อให้ข้อมูลปลอดภัย
ฐานข้อมูลแบบไม่ต้องใช้เซิร์ฟเวอร์สามารถตั้งค่าและพร้อมใช้งานได้ในไม่กี่นาที ฟังก์ชันแบบไม่ต้องใช้เซิร์ฟเวอร์หลายฟังก์ชันจะทำให้ฐานข้อมูลแบบไม่ต้องใช้เซิร์ฟเวอร์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การกำหนดค่าตามความต้องการ
ฐานข้อมูลแบบไม่ต้องใช้เซิร์ฟเวอร์จะปรับความจุฐานข้อมูลตามความต้องการของแอปพลิเคชัน โดยจะปรับขนาดทั้ง I/O และปริมาณโดยอัตโนมัติตามความต้องการในการจัดเก็บข้อมูลและความต้องการในการประมวลผล ฐานข้อมูลดังกล่าวสามารถปิดการทำงาน เริ่มการทำงาน และปรับขนาดเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้ทันทีเพื่อรองรับเวิร์กโหลด คุณสมบัตินี้ช่วยให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงฐานข้อมูลได้โดยไม่ต้องจัดการอินสแตนซ์แต่ละรายการแยกกัน
ตำแหน่งข้อมูลที่กำหนดเองและแบบจำลองการอ่าน
คุณสามารถกำหนดค่าตำแหน่งข้อมูลของฐานข้อมูลเพื่อกำหนดเส้นทางเวิร์กโหลดไปยังอินสแตนซ์ที่กำหนดค่าเฉพาะเจาะจงในขณะที่แยกส่วนอื่นๆ ได้ ด้วยวิธีนี้ คุณจึงสามารถกระจายและปรับสมดุลเวิร์กโหลดได้ในอินสแตนซ์ต่างๆ ผู้ใช้ยังสามารถสร้างแบบจำลองการอ่านที่มีเวลาแฝงต่ำภายในฐานข้อมูลแบบไม่ต้องใช้เซิร์ฟเวอร์เพื่อรองรับคำขออ่านปริมาณมากได้ แบบจำลองจะใช้คลังพื้นที่เก็บฐานข้อมูลเดียวกัน ซึ่งช่วยลดเวลาล่าช้าและลดต้นทุนอีกด้วย
AWS จะรองรับความต้องการการประมวลผลแบบไม่ต้องใช้เซิร์ฟเวอร์ของคุณได้อย่างไร
Amazon Aurora เป็นบริการฐานข้อมูลแบบเชิงสัมพันธ์ที่ทันสมัย ซึ่งมีประสิทธิภาพและความพร้อมใช้งานสูงตามขนาด รุ่นที่รองรับ MySQL และ PostgreSQL แบบโอเพนซอร์สอย่างสมบูรณ์แบบ และมีเครื่องมือสำหรับนักพัฒนาที่หลากหลายสำหรับการสร้างแอปพลิเคชันที่ไม่ต้องใช้เซิร์ฟเวอร์และขับเคลื่อนด้วยแมชชีนเลิร์นนิง (ML) Amazon Aurora Serverless เป็นการกำหนดค่าการปรับขนาดอัตโนมัติตามความต้องการของ Amazon Aurora ซึ่งจะเริ่มใช้งาน ปิดการทำงาน และปรับขนาดความจุให้มากขึ้นหรือลดลงตามความต้องการของแอปพลิเคชันของคุณ
ตัวอย่างเช่น คุณสามารถ:
- ปรับขนาดเพื่อรองรับธุรกรรมได้เป็นแสนรายการได้ในทันที
- ใช้ฐานข้อมูลแบบโครงสร้างเอกสารแบบไม่ต้องใช้เซิร์ฟเวอร์ที่มีการจัดการอย่างสมบูรณ์โดยไม่ต้องจัดการอินสแตนซ์
- ปรับขนาดความจุฐานข้อมูลได้โดยไม่รบกวนคำขอแอปพลิเคชันที่เข้ามา
Amazon Timestream เป็นบริการฐานข้อมูลอนุกรมเวลาที่รวดเร็ว ปรับขนาดได้ และไม่ต้องใช้เซิร์ฟเวอร์สำหรับ IoT และแอปพลิเคชันการปฏิบัติการ Timestream จะจัดเก็บและวิเคราะห์กิจกรรมหลายล้านล้านรายการต่อวัน โดยดำเนินการได้เร็วกว่าและมีต้นทุนน้อยกว่าเมื่อเทียบกับฐานข้อมูลแบบเชิงสัมพันธ์
ตัวอย่างเช่น คุณสามารถ:
- วิเคราะห์ข้อมูลแบบอนุกรมเวลาได้อย่างรวดเร็วโดยใช้ SQL พร้อมฟังก์ชันการวิเคราะห์ในตัวเพื่อการปรับเรียบ การประมาณค่าในช่วง และการประมาณค่า
- ประมวลผลการสืบค้นนับล้านครั้งต่อวันและปรับขนาดทรัพยากรการประมวลผลและพื้นที่เก็บข้อมูลโดยอัตโนมัติ เพื่อรองรับเวิร์กโหลดปริมาณมาก
- จัดการวงจรการใช้งานข้อมูลง่ายขึ้นด้วยพื้นที่เก็บแบบหน่วยความจำสำหรับข้อมูลล่าสุด และพื้นที่เก็บแบบแม่เหล็กสำหรับข้อมูลในอดีต
AWS ยังมีฐานข้อมูล NoSQL แบบไม่ต้องใช้เซิร์ฟเวอร์อีกมากมาย เช่น Amazon DynamoDB, Amazon ElasticCache และ Amazon Neptune
เริ่มต้นใช้งานฐานข้อมูลแบบไม่ต้องใช้เซิร์ฟเวอร์บน AWS โดยสร้างบัญชีฟรีได้เลย